FPI โชว์กำไรทะลัก 408.6 ออลไทม์ไฮตามนัดบอร์ดเคาะจ่ายปันผล 0.08 บ./หุ้น พร้อมจ่าย 9 พค 66 นี้เล็งปิดดีลพันธมิตรอียิปต์ ดันมาร์จิ้นพุ่ง ตั้งเป้าปี66 รายได้เติบโต 10%
บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้(FPI) โชว์กำไรและรายได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตามคาดการณ์ไว้โดยกำไรสุทธิพุ่ง24.2% แตะ408.6 ล้านบาท ส่วน รายได้อยู่ที่ 2,679.8 ล้านบาท เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจ ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นรับรู้ผลพลอยได้การอ่อนค่าเงินบาทและค่าระวางที่เริ่มลดลง ขณะที่บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลอัตรา 0.08 บ./หุ้น กำหนดจ่ายในวันที่ 9 พค 2566 ฟากซีอีโอ"สมพล ธนาดำรงศักดิ์" ระบุในปี66 ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต10% ลุยขยายตลาดต่างประเทศ เตรียมปิดดีลพันธมิตรอียิปต์ช่วยลดต้นทุนดันมาร์จิ้นพุ่ง หนุนอนาคตโตก้าวกระโดด
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือFPI เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดปี 2565 มีรายได้รวม 2,679.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.4% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 2,136.60 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 408.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.2% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิเท่ากับ 329 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้และกำไรในปี2565 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท
ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานอยู่ในทิศทางที่ดีต่อเนื่อง ผลมาจากการเติบโตของธุรกิจ ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นรับรู้ผลพลอยได้การอ่อนค่าเงินบาท โดยอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยในปี 2565 อยู่ประมาณ 34.80 เทียบกับ 33 บาท ในปี 2564 ซึ่งจะส่งผลบวกให้กับบริษัทในปี 2565 เฉพาะการส่งออกประมาณ 4.4%
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวด 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 121.04 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลที่บริษัทฯได้จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นแล้วจำนวน 0.08 บาท สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯงวด 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน2565 จะรวมเป็นเงินปันผลจ่ายในปี 2565 ทั้งสิ้น จำนวนหุ้นละ 0.16 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิน 242.08 ล้านบาท โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่จะมีชื่อปรากฎ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 26 เมษายน 2566 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 พค 2566 ทั้งนี้ สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าว ยังไม่มีความแน่นอน เนื่องจากต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทฯตั้งเป้าหมายการเติบโตรายได้ที่ระดับ 10% จากงวดเดียวกันปีก่อน และคาดว่าจะยังคงทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ต่อเนื่อง โดยยังคงเน้นกลยุทธ์การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยผลักดันให้มาร์จิ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งมีแผนรุกขยายไปในตลาดต่างเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตได้ดี
ขณะเดียวกันแผนความร่วมกับพันธมิตรลงทุนในประเทศอียิปต์มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ซึ่งการตัดสินใจไปลงทุนสร้างโรงงาน และคลังสินค้าดังกล่าว บริษัทฯ ประเมินว่าจะช่วยสนับสนุนให้ประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายในด้านค่าขนส่ง และภาษีนำเข้าได้เป็นอย่างดี และช่วยดันมาร์จิ้นให้เพิ่มขึ้นในส่วนของตลาดโซนแอฟริกาเหนือได้ไม่ต่ำกว่า 15%
นอกจากนี้ บริษัทฯได้ติดตั้งเครื่องฉีดใหม่เพิ่มอีก 5 เครื่อง โดยการลงทุนในครั้งนี้จะได้สิทธิประโยชน์ภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน( BOI)เป็นระยะเวลา 5 ปี และจะทำให้บริษัทมีความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนในส่วนของกันชนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40,000 ชิ้น โดยจะทำให้มีกำลังการผลิตรวมถึง 200,000 ชิ้นต่อเดือนในกลุ่มกันชน ช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยได้กว่า 10%
"ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ยังน่าจะมีทิศทางที่ดีต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากค่าเงินบาทได้กลับอ่อนค่าทะลุ 35.13 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งปีของบริษัทที่ 34.80 ในปี 2565 นอกจากนี้บริษัทยังคงเน้นกลยุทธ์ควบคุมต้นทุนทั้งทางด้านค่าขนส่ง พลังงาน และหาโปรเจ็คใหม่ๆ ที่มี GP สูงๆ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถรักษาประสิทธิภาพการทำกำไรในระดับที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ" นายสมพลกล่าวในที่สุด